รีวิว Overwatch 2 การกลับมาของเกมแนว Hero Shooter จากค่ายพายุหิมะที่เราไม่ค่อยอยากจะนับเป็นภาค 2 สักเท่าไหร่

Platform: PlayStation 4, PlayStation 5, Nintendo Switch, Xbox One, Xbox Series X/S, PC

Developer: Blizzard Entertainment

Publisher: Blizzard Entertainment

Release Date: 4 October 2022

ถ้าย้อนกลับไปในปี 2016 เกมที่สร้างปรากฏการณ์ไปทั่วโลก ไม่ว่าคุณจะอยู่ใน Platform Social ไหนก็ตามคุณจะต้องได้เห็นคนแชร์เกมนี้กันบ้างและอย่างเกม Overwatch ที่คราวนี้กลับมาในภาค 2 พร้อมเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นเกม Free to play อย่างเต็มรูปแบบ แล้วมันมีอะไรบ้างที่เปลี่ยนไปจากภาคแรกและที่สำคัญคือมันยังสนุกอยู่หรือไม่มาหาคำตอบได้ในรีวิวตัวนี้เลยครับ

Presentation

การนำเสนอของ Overwatch 2 ยังคงเหมือนกับภาคแรกแทบทั้งหมดเลยไม่ว่าจะเป็นตัวละคร แผนที่ หรือโหมดการเล่นที่ของเก่าจากภาคหนึ่งก็ยังคงมีเหมือนเดิมแต่ในภาค 2 ก็ได้มีการเพิ่มโหมดใหม่ แผนที่ใหม่ และตัวละครใหม่ ๆ เข้ามาภายในเกมคุณอาจจะมองว่า Overwatch 2 เป็นเหมือนการนำ Overwatch ภาคแรกมา Remaster ก็ดูจะไม่ผิดแต่อย่างใด

แต่ในภาคนี้ด้วยความที่ตัวเกมกลายเป็นเกมแบบ Free to play และปัญหาต่าง ๆ ที่ผ่านมาทำให้ในภาค 2 นี้ทีมงานได้ตัดระบบเลเวล และ Loot box ออกไปและเปลี่ยนมาเป็นระบบ Battle Pass แทนโดยคราวนี้การที่คุณจะได้ตัวละครใหม่ ๆ คุณจำเป็นที่จะต้องเล่นให้เลเวลของ Battle Pass ถึงกำหนดถึงจะสามารถเล่นตัวละครใหม่ ๆ ได้ (สำหรับสายฟรี) หรือเลือกที่จะอัพเกรด Battle Pass ให้กลายเป็นแบบ Premium คุณก็จะได้รับตัวละครใหม่ไปใช้ในทันที และ Skin ส่วนใหญ่ภายในเกมคราวนี้ก็ต้องเติมเงินซื้อเท่านั้นแล้วด้วยสำหรับ Skin ระดับ Legendary ขึ้นไป

Gameplay

มาถึงส่วนสำคัญแล้วสำหรับเกมเพลย์ ถึงแม้ว่าภาคนี้ในตอนแรกทีมงานจะนำระบบ PVE มาเป็นหัวใจสำคัญแต่กว่าโหมดนี้จะมาก็ต้องรอจนถึงช่วงต้นปี 2023 เลยเพราะฉะนั้นในรีวิวนี้เราจะพูดถึงแค่ PVP เท่านั้น จากที่ปรกติใน Overwatch ภาคแรกจะสามารถทีสมาชิกในทีมได้ 6 คน แต่ในภาค 2 นี้จำนวนของคนในทีมจะเหลือเพียง 5 คนเท่านั้น โดยจะประกอบไปด้วย DPS 2 คน Support 2 คนและ Tank 1 คน ทำให้ในคราวนี้ Support จะเป็นตำแหน่งที่เล่นได้ยากขึ้นมากด้วยความที่ Tank มีเพียงคนเดียวทำให้ถ้า Tank ตายก็จะไม่มีคนมายืนค้ำให้ทันทีทำให้การเลือกตัวละครนั้นให้เหมาะสมจะสำคัญยิ่งกว่าภาคแรกสะอีก

ในภาคนี้ได้มีการนำโหมดใหม่เข้ามานั้นก็คือ Rush ที่จะเป็นการดันหุ่นยนต์ของทั้งสองทีมที่ถือว่าเป็นโหมดที่สนุกที่สุดแล้วสำหรับเราในเกมนี้ และที่สำคัญที่สุดเลยก็คือตัวละครทุกตัวจะมีการ Buff และ Nerf ครั้งใหญ่ที่บางตัวอาจจะมีการ Rework Skill เพื่อทำให้เกมมีความบาลานซ์มากขึ้น หรือบางตัวอาจถึงขั้นเปลี่ยนตำแหน่งไปเลยเช่น Doomfist ที่ในภาคแรกเขาจะเป็นตัวละคร DPS แต่ในภาคที่ 2 นี้เขาก็จะกลายเป็น Tank อย่างเต็มตัวเป็นต้นและสิ่งที่จะเข้ามาช่วยให้การเล่นนั้นดีขึ้นนั้นก็คือระบบ Passive ของตำแหน่งแต่ละตำแหน่งได้แก่ Tank ที่จะทำให้เวลาโดนผลักจะกระเด็นไปไม่ไกลเท่าตำแหน่งอื่นและเวลาโดยยิ่งก็จะทำให้ตัวละครที่โจมตีเก็บเกจอันติช้าลง DPS ที่หลังจากฆ่าตัวละครอื่นได้จะทำให้วิ่งเร็วขึ้นและรีโหลดเร็วขึ้น 25% และ Support ที่จะที่จะมีรีเจนเลือดทุกตัวแล้วแต่ก็ต้องไม่โดนดาเมจสักระยะด้วย นี่แหละที่จะมาทำให้เกมนี้มีความสมดุลมากยิ่งขึ้น

Performance

ต้องบอกว่า Performance ของเกมในช่วงแรกนั้นแย่มาก ๆ ทั้งการรอคอยคิวที่ยาวนานแบบสุด ๆ ในวันแรกกว่าเราจะได้เล่นต้องรอคิวเกือบ 2 ชั่วโมงแถมพอเข้าไปได้แปปเดียวเกมก็ล่มอีก แต่หลังจากนั้นเกมก็ได้รับการปรับปรุงให้ดีมากขึ้นหลังจากนั้นเพียงไม่นานผู้เล่นก็แทบจะไม่ต้องรอคิวในการเล่นแล้ว แต่ก็ยังมี Bug อีกหลายอย่างที่กำลังรอการแก้ไขเช่น Skill Hack ของ Sombra ที่ปรกติ Skill นี้จะทำการเปิด Active และ Passive ของคนที่ถูก Hack ทั้งหมดแต่ตอนนี้บางครั้งถึงเราจะ Hack ได้สำเร็จแต่ตัวที่ถูก Hack ก็ยังสามารถใช้ Skill ได้อยู่ เรียกว่าถึงจะเป็นเกมที่มีรากฐานมาจากเกมภาคแรกแต่เกมก็ยังต้องได้รับการขัดเกลาอีกมากเลยทีเดียวกว่าจะสมบูรณ์ได้

สรุป

เราไม่ค่อยอยากจะเรียกเกมนี้ว่า Overwatch 2 เท่าไหร่แต่อยากจะเรียกเกมนี้ว่า Overwatch Remaster มากกว่าด้วยการนำเสนอที่ยังคงเหมือนเดิม แต่มีการเพิ่มโหมดใหม่ ตัวละครใหม่ ฉากใหม่ การปรับบาลานซ์ให้ดีมากขึ้นแต่โดยรวมแล้วทุกอย่างที่เคยมีมาในภาคแรกยังคงอยู่เหมือนเดิม แต่มีการปรับให้ดีขึ้นเท่านั้น มันยังคงเป็นเกมที่สนุกเหมือนเดิมแต่ด้วยความที่เป็นเกมฟรีก็ต้องทำใจเรื่องผู้เล่น Toxic เอาไว้ด้วยเพราะคุณจะต้องได้เจออย่างแน่นอนครับ

คะแนนจากทางเรา: 8.5/10